Wednesday 30 January 2013

Best logistic make one community...so quick..ASEAN Next economic corridors..the real of one market soon..

Best logistic make one community...so quick..ASEAN Next economic corridors..the real of one market soon..

GMS


http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/articles/detail.php?IBLOCK_ID=70&SECTION_ID=533&ELEMENT_ID=11600


3. การลงทุนและการค้า
          นับตั้งแต่ปี 1992 ปริมาณการค้าระหว่างยูนนานกับประเทศสมาชิก GMS ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ก็ยังคงรักษาทิศทางการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ไว้ได้ต่อเนื่อง ในปี 2011 ปริมาณการค้าระหว่างยูนนานกับ 5 ประเทศสมาชิก GMS สูงถึง 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าปี 2010 ร้อยละ 27 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27 ของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของมณฑลยูนนาน เติบโตขึ้นจากปี 1992 ถึง 11.8 เท่า โดยมีค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 14 ต่อปี
          ตั้งแต่ปี 2002 จีนผลักดันการใช้ยุทธศาสตร์ “เดินออกไป” ส่งผลให้ธุรกิจยูนนานที่ไปลงทุนใน 5 ประเทศสมาชิก GMS มีจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งเดือนธันวาคม ปี 2011 มียอดการลงทุนทั้งสิ้น 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคการพัฒนาทรัพยากรแหล่งน้ำ การเกษตร และทรัพยากรแร่ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน มณฑลยูนนานก็เป็นแหล่งลงทุนของธุรกิจจาก 5 ประเทศสมาชิก GMS เช่นกัน จนกระทั่งสิ้นปี 2011 มีธุรกิจจาก 5 ประเทศสมาชิก GMS ลงทุนในมณฑลยูนนานจำนวน 348 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 1.62 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคการผลิต การเกษตร พลังงานไฟฟ้า อสังหาฯ และร้านอาหาร เป็นต้น
4. ความร่วมมือด้านการเกษตรและการท่องเที่ยว
          การร่วมมือด้านวนเกษตร: มณฑลยูนนานได้มีการทดลองเพาะปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ในเมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านไม้ดอกและพืชผักในย่างกุ้ง แปลงทดลองทางการเกษตรในประเทศต่างๆ เช่นเมียนมาร์ อุดมไซของลาว และเสียมราฐของกัมพูชา เป็นต้น ได้รับงบประมาณจากกระทรวงเกษตรของจีนในการดำเนินโครงการอบรมเทคโนโลยีตรวจสอบโรคในสัตว์ร่วมกับลาว และเมียนมาร์ ร่วมติดตั้งระบบเครือข่ายป้องกันไฟป่าในพื้นที่ชายแดนจีนกับเมียนมาร์ และลาว
          ทั้งมณฑลยูนนานมีผู้ประกอบการประมาณ 200 ราย ไปลงทุนด้านการเกษตรในภาคเหนือของเมียนมาร์ และลาว อาทิ การปลูกพืชทดแทนในพื้นที่ซึ่งเดิมเป็นที่ปลูกฝิ่น การปลูกยางพารา อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และผลไม้เมืองร้อน รวมมีเนื้อที่กว่า 3 ล้านหมู่ (กว่า 1.25 ล้านไร่) คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 1.6 พันล้านหยวน รวมทั้งอุตสาหกรรมการแปรรูปที่เกี่ยวข้องก็ได้รับการส่งเสริมด้วย
          การร่วมมือด้านการท่องเที่ยว: มณฑลยูนนานได้มีการกระชับความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิก GMS มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงนามในสัญญาและ MOU ด้านการท่องเที่ยวกับเวียดนาม และลาว จำนวน 14 ฉบับ และยังได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ “เส้นทางการท่องเที่ยวนานาชาติสี่เหลี่ยมทองคำ” และ “เส้นทางการท่องเที่ยวนานาชาติแชงกรีล่า-เถิงชง-มิจินา(พม่า)” อีกทั้งรัฐบาลกลางจีนยังได้อนุมัติให้เปิดเส้นทางการท่องเที่ยวนานาชาติแม่น้ำโขง-แม่น้ำล้านช้าง จากต้นทางสิบสองปันนาไปยังหลวงพระบาง ทั้งหมดนี้ส่งผลให้มณฑลยูนนานเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างจีนสู่ประเทศสมาชิก GMS

“2012 - 2022” ทศวรรษที่ 3 อนาคตยูนนาน อนาคต GMS
ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนา GMS ฉบับใหม่ (ปี 2012 - 2022) ซึ่งเป็นผลจากการประชุมสุดยอดผู้นำ GMS ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 19 - 20 ธันวาคม 2554 ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ กรอบยุทธศาสตร์ประจำทศวรรษที่ 3 ของ GMS เน้นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่
1. ผลักดันกระบวนการเกิดประชาคมอนุภูมิภาค ส่งเสริมการพัฒนาความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมกัน
2. ออกนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
บนเงื่อนไขความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน
3. ให้ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอนุภูมิภาค
ความร่วมมือ GMS จะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการสนับสนุนความสำเร็จของยุทธศาสตร์หัวสะพานของมณฑลยูนนาน ที่จะสร้างให้มณฑลยูนนานเป็นประตูสำหรับประเทศจีนตอนใน เชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ โดยมีงานสำคัญที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน 8 ด้าน ดังนี้
1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และโทรคมนาคมให้สมบูรณ์
มณฑลยูนนานให้ความสำคัญอย่างสูงต่อการร่วมมือกับประเทศสมาชิก GMS ในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม อาทิ เส้นทางหลวง เส้นทางรถไฟ การคมนาคมทางน้ำ การคมนาคมทางอากาศ ด่านชายแดน และความร่วมมือด้านโทรคมนาคมสารสนเทศ รวมไปถึงการสร้างเวทีสำหรับฝึกอบรม พัฒนาและแลกเปลี่ยนทรัพยากรบุคคล เพื่อเป้าหมายการยกระดับโครงข่ายโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาคนี้
2. การอำนวยความสะดวกในการขนส่งและการค้า
ตาม “กรอบยุทธศาสตร์การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง” และ “ข้อตกลงการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง” มณฑลยูนนานจะเร่งดำเนินการอำนวยความสะดวกใน 5 ด้านที่มีผลการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศสมาชิก GMS ได้แก่ การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร การตรวจสอบและกักกัน โลจิสติกส์ กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง และเวทีการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ลดอุปสรรคทางกฎหมาย ประสานกับเวียดนาม ลาว ไทย และเมียนมาร์ในการจัดการเรื่องการตรวจสอบและกักกัน พิธีการศุลกากร การออกใบอนุญาตและเอกสารรับรองต่างๆ ให้มีความเป็นระบบมากขึ้น
http://thai.cri.cn/247/2012/12/31/102s205668.htm
เส้นทางบกจากนครหนานหนิง-กรุงเทพที่มีระยะทางสั้นที่สุดในปัจจุบัน (R12เริ่มต้นเส้นทางจากนครหนานหนิง - เมืองท่าแขก ประเทศลาว - ด่านนครพนม - กรุงเทพฯ รวมระยะทาง 1,700 กว่ากิโลเมตร
          ตามที่ได้รับรายงาน พบว่า เงื่อนไข/ปัจจัยด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อมเท่าที่ควร อาทิ สภาพเส้นทางเป็นภูเขา คดเคี้ยว รับน้ำหนักได้ไม่มาก ฯลฯ นอกจากนี้ พบว่า ในหลักการ เส้นทางฯ ดังกล่าวไม่สามารถใช้ขนส่งผลไม้ไทยสู่ประเทศจีนได้ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในข้อตกลงฯ ระหว่างจีนกับไทย
          รายละเอียดเส้นทางเริ่มจากนครหนานหนิง 
ด่านโหย่วอี้กวาน เขตฯ กว่างซีจ้วง  ด่านลางเซิ่น (Lang Son กรุงฮานอย  อ.วินห์ (Vinh) จ.เงอาน (Nghe An) – ด่านจาลอ (Cha Lo) ประเทศเวียดนาม  ด่านนาพาว (Na Phao) - เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ประเทศลาว  ด่านพรมแดน จ. นครพนม  กรุงเทพฯ 

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว (แห่งที่ 1-3)
  2012-12-31 15:37:37  cri
จนถึงขณะนี้ สะพานมิตรภาพไทย-ลาวทั้งหมดมี 4 แห่ง ซึ่งแห่งที่ 1-3 เปิดเดินรถมาหลายปีแล้ว ส่วนแห่งที่ 4 ก็จะสร้างแล้วงเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2013
สะพานมิตรภาพ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์)
แหล่งข่าวแจ้งว่า สะพานมิตรภาพ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่แห่งแรก โดยเชื่อมต่อเทศบาลเมืองหนองคายเข้ากับบ้านท่านาแล้ง นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว
สะพานแห่งนี้ได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 4 เมษายนปี 1994 โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย และนายหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศลาว โดยตัวสะพานมีความยาว 1,170 เมตร มีทางรถ 2 ช่องจราจร ทางเดิน 2 ช่องทาง และทางรถไฟกว้าง 1.000 เมตร 1 ราง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย ใช้ระยะเวลาก่อสร้างระหว่างเดือนตุลาคมปี 1991ถึงเดือนเมษายนปี 1994
สะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)
ส่วนสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) เป็นสะพานที่เชื่อมต่อจังหวัดมุกดาหารของประเทศไทยเข้ากับแขวงสุวรรณเขดในประเทศลาว เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเศรษฐกิจตะวันตกตะวันออก ซึ่งเริ่มจากพม่า ผ่าน ไทย ลาวและสิ้นสุดที่เวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงของธนาคารการพัฒนาแห่งเอเชีย ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 1,600 เมตร มีความกว้าง 12 เมตร และมีช่องการจราจร 2 ช่อง มูลค่าการก่อสร้างประมาณ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งทุนในการก่อสร้างเป็นเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้กับรัฐบาลลาว 4,011 ล้านเยน และให้กับรัฐบาลไทย 4,079 ล้านเยน ใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2003 ถึงเดือนธันวาคมปี 2006 สะพานเปิดให้สาธารณะใช้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมปี 2006 ในระหว่างการขับรถมายังฝั่งไทย
สะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน)
และสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย (นครพนม) กับประเทศลาว (คำม่วน) พื้นที่ฝั่งไทย ที่บ้านห้อม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ฝั่งลาวอยู่ที่บ้านเวินใต้ เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน
ควบคุมการก่อสร้างโดยสำนักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวง และบริษัทอิตาเลียนไทย จำกัดเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างใช้งบประมาณก่อสร้างจากรัฐบาลไทยทั้งสิ้น 1,723 ล้านบาท มีระยะเวลาการก่อสร้างรวม 900 วัน สะพานจะแล้วเสร็จในวันที่ 11 พฤศจิกายนปี 2011 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จก่อนกำหนดถึง 3 เดือน เมื่อสะพานแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งด้านการค้า และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีความยาวรวม 780 เมตร มีช่องลอดกว้าง 60 เมตร สูง 10 เมตร 2 ช่วง ความกว้างสะพาน 13 เมตร และมีการช่องจราจร 2 ช่อง และไม่มีทางรถไฟ

http://vovworld.vn/th-TH/%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1/570.vov

จังหวัด (Tỉnh- ติ่ง) Nghệ An (เหงะ อาน) (จังหวัดบ้านเกิด ท่าน โห่ จี๋ มิง)

มีเมือง Vinh (วิง) เป็นศูนย์กลางของจังหวัด


*ตั้งแต่เขตจังหวัด เหงะ อาน นี้ลงไปถึงเมือง เฮว้ จะเริ่มเป็นเขตภาษาถิ่นเวียดนามภาคกลาง ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านการออกเสียงวรรณยุกต์ และมีคำศัพท์ท้องถิ่นมาก อย่างไรก็ตาม คนในเขตนี้ส่วนใหญ่ถ้ามีโอกาสไปศึกษาหรือเดินทางไปในเขตเมืองบ่อยก็มักจะปรับสำเนียงให้ใกล้เคียงกับสำเนียงเวียดนามมาตรฐานทางเหนือไม่มากก็น้อย

ตัวอย่างคร่าว ๆ
คำว่า Chủ Nghĩa Xã hội
สำเนียงมาตรฐานฮานอยจะออกว่า (จู่ เหงีย สา โห่ย)
แต่สำเนียง เหงะ อาน จะออกเสียง จู่ เหงี่ย ส่า โห่ย

เป็นต้น

จาก: Viet Hoa
วันที่: 23/06/53 - 13:00 น.
IP Address: 124.157.135.xx
ความคิดเห็นที่ 7
ตย. ความแตกต่างระหว่างภาษาเวียดนามมาตรฐาน ฮานอย และ เวียดนามภาคกลาง


(ฮานอย) Đi đâu đấy ดี เดิว เด๋ย (ไปไหนนั่น)
(ถิ่นภาคกลางเวียดนาม) Đi mô rứa ดี โม เรื๋อ

ภาษาเวียดนามถิ่นกลาง ภาษาเวียดนามมาตรฐาน ฮานอย
mần (เหมิ่น) = làm (หล่าม = ทำ)
chi (จี) = gì (สี่ = อะไร)
đàng (ด่าง) = đường, đằng
cấy เกิ๋ย = cái 




สำหรับตัวเลขการนำเข้า และ ส่งออก ตั้งแต่ ตุลาคม 2554- กันยายน 2555 รวม 5,372,599 บาท 

แต่แม้ว่าการค้าขายชายแดนจะคึกคักขนาดไหน สิ่งที่บึงกาฬยังรออยู่ เปรียบเสมือนจิ๊กซอร์ตัวสุดท้าย คือ สะพานข้ามแม่น้ำโขง 

"เรารอสะพานข้ามแม่น้ำโขง เรามียุทธศาสตร์ คอนเนคติวิตี้ เชื่อมโยงระหว่างอาเซียน เราพยายามจะเชื่อมโยงกันให้มากที่สุด เพราะว่าตอนนี้หนองคายมีสะพาน นครพนมมีสะพาน สมมติว่าเราจะเอารถไปข้ามที่นครพนม วิ่ง 200 กิโลเมตร ย้อนมาอีก 250 กม. มันก็ไม่เวิร์กหรอกครับ หรือจะไปหนองคาย 140 กม. ข้ามไปเวียงจันแล้ววิ่งไปอีก 150 กม. มันก็ไม่สะดวก เขายังต้องข้ามทางนี้ ซึ่งบึงกาฬก็มีแนวอยู่แล้ว คือบ้านห้วยซึม ตรงกับบ้านกล้วยของปากซันเขา วันนั้นเจ้าแขวงเขาก็มาดูกัน เส้นทางตัวนี้เราขายไปถึงเวียดนาม เป็นเส้นทางสั้นที่สุด บึงกาฬจึงอยากจะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 5"

หากมีสะพาน บึงกาฬ จะเป็นเส้นทางที่ 3 เพื่อเก็บตกการค้าเส้นทางหลัก 

นภดล อธิบายว่า ตอนนี้เส้นทางการค้าอีสานมีเส้นทางหลักอยู่ 2 เส้นทาง  เส้นทางที่ 1คือ อีสต์ เวสต์ คอริดอร์ จาก เว้ ดานัง เข้ามามุกดาหาร วิ่งมาตอนกลางเพื่อจะไปออกพม่า ญี่ปุ่นได้ประโยชน์มากที่สุด เส้นทางที่ 2 คือ เส้นทางนครพนมก็จะออกไปที่เมืองฮาติงห์ของเวียดนาม ก็จะเหนือจากเว้ ดานังขึ้นมานิดหนึ่ง ข้ามที่ท่าแขกนครพนม ทีนี้หากมีสะพาน บึงกาฬก็จะเป็นเส้นทางที่ 3 ซึ่งส่วนเส้นทางที่บึงกาฬจะใช้ คือ เส้นทางหมายเลข 8 ซึ่งจะอยู่เหนือกว่า 2 จังหวัดแรก 
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1356526043&grpid=&catid=19&subcatid=1900


"เมื่อดูศักยภาพ โลเคชั่นของเรา ถ้าไปฮานอย เราจะใกล้กว่ามุกดาหารประมาณ กว่า 200 กิโลเมตร สั้นลง ถ้าออกจากนครพนมเขาจะไกลกว่าเราอีก 100 กว่ากม. ก็แสดงว่าโลเคชั่นเราอยู่เหนือสุด แล้วผลผ่านแดนเราใช้ผ่านแค่บอลิคำไซแขวงเดียว หมายเลข 8 คือ ผ่าน บอลิคำไซ แขวงเดียว แต่ถ้าจากนครพนมเขาต้องผ่านแขวงคำม่วน แล้ววิ่งตามหมายเลข 13 เลียบโขงมาเจอหมายเลข 8 ของเราแล้วเลี้ยวขวาเข้า 2 แขวง ส่วนมุกดาหารยึดหลักใหญ่อยู่แล้วจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ก็ได้ แต่ว่าเราไม่มีส่วนของ อีสต์ เวสต์ คอริดอร์ เพราะว่าภูพานขวางเราอยู่ บึงกาฬจะวิ่งลงไปมันไม่คุ้ม แอ่งสกลนครมันเทมาอย่างนี้ เราก็จะเป็นการค้าที่เราเก็บตกเหนือใต้ มันเป็นแก๊ปที่ว่างอยู่ อิสต์ เวสต์ คอริดอร์ เขาตะวันออกตะวันตกใช่ไหม แต่เราอยู่ด้านเหนือเราจะเก็บตกนี้ เหมือนกับเขาเป็นกระแสหลัก เราจะเป็นกระแสรอง ซึ่งยังมีความสำคัญอยู่" 

"แม้ว่าขณะนี้เราจะมีแพขนานยนต์ แต่ให้เปรียบแพก็เหมือนคอขวด เหมือนเราไปเที่ยวเกาะสมุยต้องรอเฟอร์รี่ บางวัน รถจอดเป็นร้อยคัน เพื่อจะรอบรรทุกได้ทีละ 8 คัน เริ่ม 7 โมงเช้า ออกคันสุดท้าย บ่ายสามโมง ก็เลยดูว่า ถ้าตัวสะพานสำเร็จเมื่อไหร่ก็จะเป็นตัวเชื่อมโยงให้เราสามารถดูแลตลาดเราตรงนั้นได้"

สำหรับความคืบหน้าเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมมีเจ้าภาพคือกระทรวงคมนาคม

>>ดูคลิป การส่งของข้ามแดน 



ทุกวันนี้การค้าขายแดน ด่านศุลกากรบึงกาฬดูแลจุดผ่อนปรนการค้าทั้งหมด 4 แห่ง และ แพขนานยนต์อีก 1 แห่ง ได้แก่ 

จุดผ่อนปรนอำเภอโพนพิสัย
ตั้งอยู่ที่ ตำบลจุมพล  อำเภอโพนพิสัย  จังหวัดหนองคาย ตรงข้ามบ้านโดนใต้ เมืองปากงึม นครหลวงเวียงจันทน์  ประเทศ สปป.ลาว เปิดทำการเฉพาะวันอังคารและวันเสาร์  ระหว่างเวลา 08.00-16.00 น.  

จุดผ่อนปรนบ้านเปงจาน 
ตั้งอยู่ที่ ตำบลโพนแพง อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ตรงข้ามบ้านทวย เมืองท่าพระบาท  แขวงบอลิคำไซ ประเทศ สปป.ลาว เปิดทำการเฉพาะวันพุธและวันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น.

จุดผ่อนปรนบ้านห้วยคาด 

ตั้งอยู่ที่ ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ตรงข้ามบ้านทวย เมืองท่าพระบาท แขวงบอลิคำไซ ประเทศ สปป.ลาว เปิดทำการเฉพาะวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา 08.00-16.00 น

จุดผ่อนปรนอำเภอบุ่งคล้า 
ตั้งอยู่ที่ อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ  ตรงข้ามบ้านปากกระดิ่ง เมืองปากกระดิ่ง แขวงบอลิคำไซ  ประเทศ สปป.ลาว เปิดทำการเฉพาะวันอังคารและศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 -16.30 น.
http://www.oknation.net/blog/akom/2010/02/12/entry-1
http://board.nakhonphanom.go.th/webboard/index.php?topic=106.0
http://www.watwatwitwit.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&No=318567

http://www.faqs.org/sec-filings/120126/Liquid-Financial-Engines-Inc_10-
K/#b

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1330327920&grpid=no&catid=no

1. ผลักดันความร่วมมือทางด้านการค้า โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการคมนาคมขนส่งระหว่างเขตฯ กว่างซีจ้วง-เวียดนาม, ลาว-ไทย               
ปัจจุบัน มีเส้นทางการคมนาคมจากเขตฯ กว่างซี-เวียดนาม-ลาว-ไทยอยู่แล้ว การใช้ประโยชน์จากเส้นทางดังกล่าวสามารถประหยัดระยะเวลา และลดต้นทุนการขนส่งให้ต่ำลงได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นการยกระดับประสิทธิภาพด้านการขนส่ง การเดินทาง รวมถึงประสิทธิผลทางเศรษฐกิจ แนวเส้นทางดังกล่าวมีแหล่งสินค้าเกษตรและแหล่งทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ มีปัจจัยพร้อมสำหรับการพัฒนาความร่วมมือทางด้านการค้า โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการคมนาคมขนส่ง อีกทั้งประเทศไทย ลาว และเวียดนามได้จัดตั้งสถานกงสุลใหญ่ที่นครหนานหนิง เขตฯ กว่างซี 
              
ดังนั้น จึงสามารถสร้างกลไกความร่วมมือในรูปแบบที่แตกต่างกันในการผลักดันระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-กรุงเทพฯ เช่น กลไกความร่วมมือระหว่างรัฐบาล กลไกความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ครอบคลุมถึงกลไกความร่วมมือภาคการเกษตร การท่องเที่ยว โลจิสติกส์และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น กลายเป็นโครงข่ายการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการคมนาคมระหว่างเขตฯ กว่างซีจ้วง-เวียดนาม-ลาว-ไทย
          
2. ดำเนินนโยบาย/มาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง 
GMS บนระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-กรุงเทพฯ              
ประเทศตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-กรุงเทพฯ ล้วนเป็นสมาชิกของ 
GMS ปัจจุบัน การคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตกได้ดำเนินนโยบายการอำนวยความสะดวกในการผ่านด่านชายแดน การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าระหว่างเวียดนาม ลาวและไทยเท่านั้น หากสามารถดึงประเทศจีน (เขตฯ กว่างซีจ้วง) เข้าร่วมดำเนินนโยบายฯ ดังกล่าวได้ การขนส่งพืชผักผลไม้จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเข้าสู่ประเทศจีนผ่านระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตกสู่ด่านโหย่วอี้กวาน เขตฯ กว่างซีจ้วงจะได้รับความสะดวกเป็นอย่างมาก 
          
3.
 ปรับปรุงเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-กรุงเทพฯ ให้มีความสะดวกรวดเร็วสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง เร่งเชื่อมต่อเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-สิงคโปร์ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว 
              
เนื่องจากลักษณะทางกายภาพและระบบโครงสร้างพื้นฐานของ 
เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-กรุงเทพฯ ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ ดังนั้น การเร่งปรับปรุงเส้นทางฯ ดังกล่าวจึงมีความสำคัญและจำเป็นเร่งด้วน
          
4. การสร้างโครงข่ายคมนาคม 
ทางเลือก ภายใต้แนวคิด ระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-สิงคโปร์              
ในงานประชุมและเวทีหารือกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ ครั้งที่ 5  (
5th Pan Beibu Gulf Economic Cooperation Forum, 
第五届泛北部湾经济合作论坛) ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 12-13 สิงหาคม 2553 ณ นครหนานหนิง เขตฯ กว่างซีจ้วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการรถไฟแห่งชาติจีน (Ministry of Railways, 铁道部) ได้นำเสนอแนวคิด เส้นทางรถไฟนครหนานหนิง-สิงคโปร์ (Nanning-Singapore Railways) และกระทรวงการรถไฟจีนพร้อมสนับสนุนผลักดันการก่อสร้างเส้นทางรถไฟนครหนานหนิง-สิงคโปร์
             
แนวคิดฯ ดังกล่าว ถือว่ามีเค้าโครงอยู่แล้วเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบัน เขตฯ กว่างซีจ้วงและกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามมีทางรถไฟมาตรฐานเชื่อมถึงกันแล้ว ในปี 2551 จีนและเวียดนามได้บรรลุข้อตกลงการเจรจาในการประชุมทางรถไฟชายแดนจีน-เวียดนาม ครั้งที่ 32 พร้อมเปิดเดินรถไฟระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการจากนครหนานหนิง เขตฯ กว่างซี 
 กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2552
             
ดังนั้น การพัฒนาหรือสานต่อแนวความคิดฯ ดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้ไม่มากก็น้อย โดยกระทรวงการรถไฟจีน กล่าวว่า การดำเนินงานก่อสร้างและเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
1) ระยะใกล้ เปิดเส้นทางรถไฟนครหนานหนิง-อำเภอระดับเมืองผิงเสียง-กรุงฮานอย-กรุงพนมเปญ-กรุงเทพฯ-กรุงกัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์
2) ระยะไกล เปิดเส้นทางรถไฟนครหนานหนิง-อำเภอระดับเมืองผิงเสียง-กรุงฮานอย-จ.แทงหวา (
Thanh Hoaเวียงจันทน์-กรุงเทพฯ-กรุงกัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์


บีไอซีหนานหนิง เห็นว่า หากการผลักดันการพัฒนาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-กรุงเทพฯ ให้ดำเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว จะช่วยส่งเสริมพัฒนาสภาพเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่เลียบแนวเส้นทางฯ ดังกล่าวให้มีการเติบโตได้เป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อบรรลุเป้าหมาย 
สำเร็จร่วมกัน

จัดทำโดย
: นายกฤษณะ สุกันตพงศ์ ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน ณ นครหนานหนิง
http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/articles/detail.php?




 อีกทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสายเอเชียสาย AH15 ซึ่งเชื่อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของไทย (อุดรธานี นครพนม สกลนคร) กับถนนหมายเลข 12 ของลาวที่แขวงคำม่วน ต่อไปยัง จ.ห่าติ๋งห์ และเมืองวิงห์ใน  จ.เหงะอาน รวมระยะทาง 331 กม.ซึ่งปัจจุบันเป็นเส้นทางหลักที่ถูกใช้สำหรับการขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่ลาว เวียดนามตอนเหนือ และจีนตอนใต้ การเปิดสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ดังกล่าวจึงยิ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้เส้นทางนี้มากขึ้นต่อไป





www.cdd.go.th

Code,IP ,TK/TCEs ...relations..Traditional Knowledge, Genetic Resources and Cultural Expressions...Mixed or Merge?/

Code
Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : Twenty-Third Session
เนื่องจากโลกนี้มันกลม และบางทีก็กลอกกลิ้งเหมือนน้ำวิ่งบนใบบอน ในเรื่องที่ประสงค์ไว้ในใจลึกๆบอกไม่ได้ เอาแต่ส่งสัณญาณ ปล่อยให้ใครๆเขาถอดรหัสกันตรงใจคนส่งบ้างไม่ตรงบ้าง แต่ก็ใกล้เคียง พอไปประติดประต่อสร้างสรรรังสรรเป็นการงานโครงการเพื่อช่วยเหลือความอยู่รอดของตนเอง บางคนมีมากแล้วพอแล้ว ก็ทำไปเพื่อประโยชน์ของสังคมชาวโลกนี้เสียบ้าง เพราะมีใครมาเถียงว่าอย่ามาเอาทรัพยากรอันแน่นขนัดจากหัวสมองของอารยะชนในระดับศาสดาไปจนชนชั้นปราชย์ชาวบ้านไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้าอย่างเดียวก็ไม่ได้  บ้างเป็นบริษัทจดทะเบียนในหลักทรัพย์ มีพืชผักสัตว์อันใด สารอินทรีย์ใดในโลกนี้ ที่จะวิจัยพัฒนาเพื่อขจัดโรคภัยของชาวโลกได้ เขาต้องทำขึ้น แต่ค่าของราคานั้น หากไม่เอาคนอีกเก้าสิบเปอรเซ็นของโลกที่รายได้น้อยมาเป็นหุ้นส่วนแบ่งกำไรปันผลจากการค้าที่มาจากการพัฒนาความคิด อันมาจากการพัฒนาทางอินทรียชีวะ บ้างไปเลิศล้ำขนาดพันธุวิศวกรรมศาสตรไปกระนั้น ล่อกันเข้าไปถึงดีเอ็นเอ ยีน โมเลกุลที่มีความแปลกแยก นานา สารพัด เป็นความหลากหลายทางชีวภาพอันมหัศจรรย์พันลึก และสิ่งเหล่านี้จับต้องได้ และแปลงสภาพมาเป็นสินค้าก็ได้ด้วย  และมีอยู่มากมายที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของโลกนี้สืบต่อทอดกันมาแต่ยุคเต่าล้านปีและไดโนเสาร ปรากฏเป็นทรัพย์แห่งแผ่นดินและทรัพยากรของโลก  และเอามาหากินเป็นเงินได้จนหมดสิ้น เช่นเต่าล้านปีและไดโนเสารแช่อิ่ม ในโหลดอง หรือกระดูกไดโนเสารเพื่อการดนตรีโดยเฉพาะเหมือนมนุษยหินฟลินโตน หากว่าพวกมันยังอยู่ และเมื่อมีมนุษยเกิดขึ้นบนโลก เราก็อพยพไปเรื่อยๆ ทำไร่เลื่อนลอยอะไรอย่างนี้นั่นประไร เริ่มมีพืชผักสัตวเลี้ยงเป็นของตัวเอง มีการพัฒนาศิลปะวิทยาศาสตรเป็นของตัวเองด้วย เช่นการวาดรูปบนกำแพงถ้ำแก้เหงาอย่างที่ผาแต้มบ้านเรา หรือคิดวิธีการจุดไฟและทำอาวุธล่าสัตว ป้องกันตน กระทั้งพัฒนาเป็นตลาดขายอาวุธสงครามกันเกร่อ มีการโฆษณาอาวุธมหาประลัย ผ่านหนังที่ทุ่มทุนสร้างให้เกิดภาพความวิบัติต้นทุนมูลค่ามหาศาลของบางประเทศจนเกิดปัญหาข้างเคียงตามมากับลูกเล็กเด็กแดงเหมือนอาการแพ้ยาที่ต่อเนื่องรักษาไม่หาย  และกฏหมายภาครัฐ กลไกในทางเศรษฐกิจในบางภูมิภาคของโลกก็มีการพัฒนาปรับปรุงเพื่อเปิดโอกาสให้ เป็นปัญหาของความแตกต่างช่องว่างทางสังคมในเรื่องรายได้ ตราบที่กลไกของภาครัฐไม่ไปจำกัดดูแลให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เราจะกำจัดปัญหาความยากจนไม่ได้ หากเราต้องการกำจัดระบบทุนนิยม ต้องบังคับเงินปันผลให้กับกลุ่มหุุ้นส่วนพิเศษของโลกนี้ คือกลุ่มภูมิปัญญาท้องถิ่นที่อยู่ในชุมชนนั่นเอง เนื่องคนนั้นมาอยู่ในพื้นที่ทีหลังพวกทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย ซึ่งธรรมชาติไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง จะบอกว่าภูเขาเกาะแก่งแหล่งน้ำเป็นทรัพย์ของผู้ใดก็ไม่ได้ นอกจากใจคิดแบบเสรีนิยมว่า เงินซื้อได้ ของในโลกนี้ที่เป็นอยู่ในทางภูมิศาสตร์ไม่ได้เป็นของใคร มันเป็นของฟรีของสาธารณะ คนต่างหากมาอยูทีหลัง แล้วจะมาหวงมาห้ามทำไมกันนี่ มิน่าบางประเทศบอกว่าโลกนี้มันไม่พัฒนาเลยเว้ยเฮ้ย มันหมดยุคไปแล้วไอ้ที่ว่าประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศด้อยพัฒนา คนต่างหากเล่าที่จะต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถในการป้องกันตนสิทธิหน้าที่ของตน รักษาสมบัติของตน และระมัดระวังแทนพระเจ้าของโลกนี้ที่ดีดโลกนี้ออกมาจากดาวฤกษ์ดวงไหนหนอแสนแสนล้านปีมาแล้ว จนมีทรัพยากรอันมีค่ามากมายของแผ่นดินผืนน้ำทั่วโลกนี้ อย่าได้คิดเลยทีเดียวว่าสมบัติของโลกเป็นของใครของประเทศใดแต่มันเป็นสมบัติของโลกนี้ ที่เป็นหน้าที่ของทุกคน ต้องควักกระเป๋าแชรกันจ่ายเพื่ออนุรักษ์รักษาไว้
เช่นรัฐบาลเก็บภาษีมาจ่ายช่วยบำรุง อุทยานที่มีสัตว์มีป่าไว้ และภาคเอกชนก็ร่วมกันลงขันช่วยภาครัฐด้วยการตั้งกองทุนบ้าง บริจาคกันเข้าไป ทำทรัสตีบ้าง เพื่อจะได้มีสตังคมาบำรุงรักษาศิลปะกรรมและธรรมชาติไว้ เก็นค่าผ่านประตูค่าสมาชิก มีชมรม มีการทำสินค้าขายเอาสตังคมาคอยทะนุบำรุงทรัพยของชาติและของโลกเหล่านี้ ให้เกิดสมดุลในสิ่งแวดล้อม อากาศก็จะไม่แปรปรวนบ้าบอนักหนา จะให้ภาครัฐออกกฏหมายมาบังคับขืนใจนายทุนผู้มีอันจะกินให้จ่ายมาใหรัฐไปบำรุงธรรมชาติวัฒนธรรมกันให้ยุบย๊ับใช่ไหม  บางประเทศทีว่าพัฒนาตอนนี้เก็บภาษีใกล้แปดสิบเปอรเซนแล้วกับผู้มีรายได้มหาศาล และภาษีจากการเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพยด้วย ทำให้ผู้คนประเภทนี้หนีหลบลี้มาฝังตัวแถบที่เขาเรียกว่าประเทศพัฒนาน้อยกว่า เสียภาษีบ้างไม่เสียบ้าง พวกภาครัฐที่มีปัญหาคอรัปชั้นเก่งนี่ชอบจริงๆ  เอาเงินมาฝังใส่ไหไว้ดีกว่า และเก็งกำไรตลาดหุ้นวันต่อวันวินาทีต่อวินาที ไม่เคยมีหุ้นหรือปันผลใหชุมชนท้องถิ่นที่รักษาสมบัติของโลกในพื้นที่ ให้เขาได้ทะนุบำรุงทรัยากร ธรรมชาติ ของเก่าโบราณไว้ให้เราชื่นชม  และจำต้องผลิตภูมิปัญญาทำเป็นสินค้าท้องถิ่นประทังชีวิต จะให้ทูนหัวยอมให้มาเอาไปทำการค้าเชิงพานิชยเชิงอุตสาหกรรมจนหมดสิ้นก็ไม่ได้ เพราะพวกนี้เอาตังคจ่ายให้พวกนักวิจัยนักเคมีที่หัวใสทำเงินทำนวัตกรรมสินค้าเทคโนโลยีตัวใหม่ป้อนตลาดของโลก และ พืชผักแร่ธาติก้อนหินก้อนกรวดที่เอามาถลุงมาตำมาสูบจากแหล่งทรัพยากรและพลังงานของโลกที่สืบทอดมาล้านล้านปี ให้มันลงขวดลงกระปุกลงไปในการโปรโมทภาพเสียงกลิ่นรสยีนโครโมโซมที่หลากหลายผ่านคลื่นเสียงคลื่นแสงความสั่นสะเทือนแลอิเตอรเนทบราวเซอรช่องทางคอนเนคทุกชนิด เชื่อมต่อไปในระบบข้อมูลออนไลนเพื่อให้ได้ข้อมูลของโลกใหมากที่สุดในการเข้าถึงแหล่งทรัยากรของโลก และนำมาเป็นช่องทางในการตลาดให้คนจ่ายเงินซื้อ เอาเงินเข้ากระเ๋าสเตคโฮลเดอรและหุ้นส่วนทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ชุมชนท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะคนเข้ามาอยู่อาศัยในท้องถิ่นทีหลัง ทรัพยและวัตถุโบราณพวกนี้มันเป็นของโลก มาตั้งห้าร้อยล้านล้านปีแล้ว จะมาเยื้อยุด ทำไม ขวางโลกแท้ สิทธิชุมชนต้องมีข้อจำกัดข้อยกเว้น เพื่อสังคมของโลกอย่างนั้น เรื่องแบ่งปันบอกมาชอบ แต่ให้ปันผลกำไรตอบแทนแหล่งข้อมูลแหล่งทรัพยากรที่ฉันได้นำมาทำใส่กระป๋องการค้าของฉันนั้นอย่าได้หวัง   อย่ามาขึ้นทะเบียน จดสิทธ อยากรู้แหล่งที่มาของสินค้าในกระปุกกระป๋องของข้อย  รังสรรมันเข้าไป เพราะมันต้องมีการสร้างสรรเพื่อการค้า พอกันเสียที รังสรรเพื่อศิลปะเพื่สิ่งประดิษฐคิดค้นเพื่อรักษาชีวิตของชาวโลก  ที่ฉ้นว่ามันเป็นของฟรีของโลก บ้าแท้ ใครคิดมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันเนี่ย

มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการออกกฏระเบียบเพื่อให้ชุมชนรู้ว่าเราจะป้องกันตนเองอย่างไรในการมีสัณญานของการละเมิดสิทธิ  หรือเราต้องมีการสกัดการเข้าถึงเพื่อการค้าการพานิชยอย่างเดียวทำอย่างไร ทรีททีหรือสนธิสัญญาใดไม่อาจจะมาบังคับคนของโลกได้ โลกทำไมไม่พัฒนาความคิดของคนเสียทีนะ เห็นไหมว่าเศรษฐกิจของบางประเทศวินาสสันตะโรไปหมดแล้ว รีบย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ประเทศที่น่าจะไม่เอาเงินมากประหยัดจ่ายสินบนได้ดีกว่าจ่ายภาษีเยอะในประเทศพัฒนาแล้วดีกว่า
'เอวัง
ภาษานักจิตวิทยาเขาว่า กลไกการป้องกันตัวแบบปกป้องตนเองself mechanism มีมากมายหลากหลาย แต่กลไกการป้องกันตัวของชุมชนท้องถิ่นที่สร้างสรรจะเป็นฉันใด ภาครัฐจะเข้าไปช่วยออกกฏบัตรปกป้องทรัพยากรของโลกนี้ที่บังเอิญชุมชนนั้นเข้าไปอาศัยอยู่ห้าร้อยโกฏปีไม่ให้เข้าตลาดทุนไปจนหมดสิ้นได้อย่างไร ภาคเอกชนจะร่วมมือร่วมใจช่วยชาวบ้านบริจาคทรัพยตั้งกองทุนทำทรัสตีปกป้องทรัพยสมบัติประเพณีสืบสาน ภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ให้หลุดไปเป็นสินค้าแบรนเนมไปจนหมดสิ้นได้อย่างไร ต้องร่วมมือกัน กลไกที่เป็นรูปธธรมในประเทศท้องถิ่นของตนน่าจะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการปกป้องท้องถิ่นได้ในแบบการป้องกันตนอย่างสร้างสรร จะไปรอให้นักวิชาการของโลกมัดมือชกให้มีการออกกฏมาปกป้องทรัยพของโลกที่อยู่ในมือท้องถิ่น ให้เป็นระเบียบเดียวทั่วโลกเห็นจะยาก
World is not yours and global spin  is not my right to stop it...rotate around for right of community or right of public knowledge?...which one is for individual and any are for private ..some for sold out into better qualify goods or bio diversity for treat disease or motivate creative thinking into industrial engine regime...if everything that are resources  must be under limit and exception...how to progress technology that keep all information s of this world only for public market capital or for social community to relief poverty and make flat the gap of society too???if we have no rules ...it must still be happen unappropriated access and defense???forever... Eternally...

Sugar day and Himalaya mandate...???and appreciated in nice welcome from Thai embassy in India...




































http://www.mfa.go.th/asean/th/code?c=a


  • Ambassador

    เอกอัครราชทูต
    - Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary : เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม หมายถึง เอกอัครราชทูตที่รัฐผู้ส่งแต่งตั้งไปยังรัฐผู้รับ โดยมอบหมายอำนาจให้ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนของรัฐผู้ส่ง
    ในกรณีที่เอกอัครราชทูตมิได้มีถิ่นพำนักอยู่ในรัฐผู้รับ เรียกว่า Non-resident Ambassador
    - Ambassador-Designate : ว่าที่เอกอัครราชทูตประจำรัฐผู้รับ หมายถึง บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต แต่ยังมิได้ยื่นสาส์นตราตั้งต่อประมุขแห่งรัฐผู้รับ
    - Ambassador-at-Large : เอกอัครราชทูตผู้แทนพิเศษ หมายถึง ผู้แทนพิเศษของกระทรวงการต่างประเทศที่มีสิทธิและสถานะเทียบเท่าเอกอัครราชทูตผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลงานและกิจการเฉพาะกิจ หรือเฉพาะเรื่องในต่างประเทศเป็นครั้งคราว
    - Ambassador attached to the Ministry of Foreign Affairs : เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ หมายถึง บุคคล ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต มีภารกิจดูแลกิจการภายในของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
    - Resident Ambassador : เอกอัครราชทูตผู้มีถิ่นพำนักในประเทศไทย หมายถึง เอกอัครราชทูตของไทยที่ได้รับการแต่งตั้งให้ประจำต่อประมุขแห่งรัฐผู้รับ แต่ยังคงมีถิ่นพำนักอยู่ในรัฐผู้ส่ง เอกอัครราชทูตผู้มีถิ่นพำนักในประเทศไทยนี้ จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในรัฐผู้รับเป็นครั้งคราว
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]
  • Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary

    ผู้แทนทางการทูตในอันดับแรก หรือ หัวหน้าของสถานเอกอัครราชทูต
    ตามปกตินั้นจะเรียกกันง่าย ๆ ว่า ?Ambassador? (เอกอัครราชทูต) ในสมัยก่อนเอกอัครราชทูตที่ประจำอยู่ในประเทศผู้รับจะมีตำแหน่งต่อท้ายว่า ?Ordinary? (สามัญ) ส่วนเอกอัครราชทูตที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจพิเศษ จะต่อท้ายว่า ?Extraordinary? (วิสามัญ) ต่อมาความแตกต่างดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ทุกวันนี้บรรดาเอกอัครราชทูตทั้งหลายจะมีตำแหน่งห้อยท้ายว่า ?Extraordinary? (วิสามัญ) ทั้งสิ้น การที่ได้รับพ่วงคำว่า ?Plenipotentiary? (ผู้มีอำนาจเต็ม) เข้าไปกับตำแหน่งอีกคำหนึ่งนั้น ย่อมหมายความว่า เอกอัครราชทูตมีอำนาจเต็มที่จะทำการเจรจาทางการทูตตามปกติใดๆ ได้ แต่การที่จะทำการเจรจาและลงนามในสนธิสัญญาได้นั้น จำเป็นที่เขาจะต้องมีอำนาจเต็มเป็นพิเศษตามปกติหรือในหลักการ เอกอัครราชทูตจะติดต่อพบปะกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประจำ เซอร์เออร์เนสท์ ซาทาว ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านชื่อ Guide to Diplomatic Practice ซึ่งเซอร์เนวิล แบลนด์ (Sir Neville Bland) ได้เรียบเรียงและปรับปรุงแก้ไขใหม่เป็นครั้งที่ 4 (ดู น.167) มีความตอนหนึ่งว่า?บางคราวเป็นที่เข้าใจกันว่า เอกอัครราชทูตสามารถเรียกร้องขอพบกับตัวประมุขของรัฐได้ไม่ว่าเวลาใด แต่อันที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากราชสำนักหรือรัฐบาลที่เอกอัครราชทูตไปประจำอยู่นั้น จะวางระเบียบหรือกำหนดธรรมเนียมเข้มงวด ทำให้มีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะอนุญาตให้เอกอัครราชทูตไปประจำอยู่นั้น จะวางระเบียบหรือกำหนดธรรมเนียมเข้มงวด ทำให้มีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะอนุญาตให้เอกอัครราชทูตได้มีโอกาสเข้าพบปะพูดจากับประมุขของรัฐ อนึ่ง ในอดีตกาลมีประเทศใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่แห่งทำการแลกเปลี่ยนเอกอัครราชทูตระหว่างกัน จึงเหลือหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตอื่น ๆ เป็นจำนวนมากที่มีตำแหน่งเรียกว่า อัครราชทูต (Ministers) เท่านั้น อย่างไรก็ดีการที่รัฐผู้ส่งจะส่งผู้แทนทางการทูตในระดับเอกอัครราชทูต (Ambassador) ไปยังรัฐผู้รับนั้นจะถือเป็นการให้เกียรติกันอย่างยิ่ง แต่ในสมัยนี้ การที่มีสถานเอกอัครราชทูตแพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ตำแหน่งเอกอัครราชทูตถูกลดศักดิ์ศรีและความขลังลงไปมากเมื่อเทียบกับสมัยอดีตกาลเกี่ยวกับเอกอัครราชทูตนี้ ได้มีการนำเอาคำจำกัดความของตำแหน่งเอกอัครราชทูตมาพูดคุยกันบ่อยๆ เป็นคำจำกัดความของ เซอร์เฮนรี่ วอตตัน (Sir Henry Wotton) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำเวนิส ในรัชสมียของกษัตริย์เจมส์ที่ 1 ว่า?เอกอัครราชทูต คือ บุคคลผู้ซื่อสัตย์ที่ถูกส่งไปกล่าวเท็จในต่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศเขา? (?An ambassador is an honest man sent to lie abroad for the good of his country?)เล่ากันว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1904 ระหว่างที่เซอร์เฮนรี่ วอตตัน เดินทางจากกรุงลอนดอนเพื่อไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่กรุงเวนิส ท่านได้แวะพักที่เมืองอ๊อกสเบิร์ก (Augsburg) ณ ที่นั้นท่านได้เขียนเป็นที่ระลึกไว้ในสมุดเยี่ยมของเจ้าของโรงแรมซึ่งเป็นสหายกับท่านในเชิงหยอกล้อ แต่แทนที่จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ กลับเขียนเป็นภาษาละตินว่า ?Legatus est vir bonus peregre missus ad mentiendum Republicae causa? ข้อความภาษาอังกฤษนั้น มีการเล่นคำว่า ?lie? ซึ่งนอกจากจะหมายความว่ากล่าวเท็จแล้ว ยังมีความหมายว่า ?พักอยู่? (Reside หรือ sojourn) ก็ได้ แต่บังเอิญคำละตินว่า ?admentiendum? มีความหมายเพียงอย่างเดียว คือ ?กล่าวเท็จ? ในไม่กี่ปีต่อมาคู่อริทางการเมืองของเซอร์เฮนรี่ได้ไปพบคำจำกัดความนี้เข้า จึงกราบทูลกษัตริย์เจมส์ให้ทรงทราบ หลักฐานประการหนึ่งอ้างว่ากษัตริย์เจมส์ทรงพิโรธอย่างยิ่ง ถึงกับให้เซอร์เฮนรี่ยุติการปฏิบัติราชการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]




  • amendment

    การแก้ไขเพิ่มเติม
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]
  • Amendments to the Charter of the United Nations

    การแก้ไขกฎบัตรสหประชาชาติ
    กฎบัตรของสหประชาชาตินั้น เปิดโอกาสให้มีการแก้ไขได้โดยสมัชชาสหประชาชาติหรือโดยที่ประชุมใหญ่ (General Conference) ของสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งอาจจะประชุมกัน ณ วันเวลาและสถานที่ตามแต่จะมีการตกลงกัน โดยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ส่วนของสมัชชาใหญ่ และโดยคะแนนเสียงของสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงใด ๆ 7 เสียง ในที่ประชุมใหญ่นั้น สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชาชาติจะมีเสียงลงคะแนน 1 เสียงการที่จะแก้ไขกฎบัตรสหประชาชาติให้เป็นผลสำเร็จ จะต้องได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกเป็นจำนวน 2 ใน 3 ส่วนของสมาชิกทั้งหมดในสมัชชาหรือจากที่ประชุมใหญ่ เมื่อการแก้ไขกฎบัตรเป็นที่รับรองแล้ว จะมีผลบังคับต่อสมาชิกทั้งหมดของสหประชาชาติ ก็ต่อเมื่อได้รับการสัตยาบันจากสมาชิก 2 ใน 3 ส่วนของจำนวนทั้งหมด รวมทั้งการรับรองจากสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงด้วยอาทิเช่น ในสมัยประชุมที่ 18 ของสมัชชาใหญ่ การแก้ไขกฎบัตรได้รับการรับรองเห็นชอบด้วย โดยผ่านข้อมติที่ 1991 (XVII) ในการแก้ไขครั้งนี้ได้เพิ่มจำนวนสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงจาก 11 เป็น 15 คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจาก 18 เป็น 27 ประเทศ การแก้ไขดังกล่าวได้รับการลงมติรับรองเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1963 ในปัจจุบันนี้ ประเทศสมาชิกเป็นจำนวนมากกำลังเรียกร้องให้มีการปรับจำนวนสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงเสียใหม่
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]
  • amity

    สันถวไมตรี
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]





  • arms control

    การควบคุมอาวุธ
    หมายถึง การจำกัดชนิดและจำนวนอาวุธไม่ให้มีมากเกินความจำเป็น
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]
  • arms reduction

    การลดอาวุธ
    หมายถึง การลดจำนวนอาวุธที่ครอบครองอยู่
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]
  • Arrival Ceremony

    พิธีการต้อนรับ
    ซึ่งมีลำดับขั้นตอน (procedure) แตกต่างกันไปตามระดับของผู้มาเยือนและประเภทของการเยือน
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]



Team Thailand

ทีมประเทศไทย
หมายถึง รูปแบบของการทำงานที่เป็นเอกภาพของหน่วยราชการไทยในการปกป้อง รักษา และส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศ ตลอดจนเพื่อช่วยประหยัดงบประมาณ ขจัดความซ้ำซ้อน ลดการทำงานที่ไม่จำเป็นให้หมดไป และช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานมากยิ่งขึ้น อันจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพ และเพิ่มประสิทธิผลของการทำงาน แนวคิดเรื่องทีมประเทศไทยเป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการทำงานของหน่วยงานไทยในต่างประเทศ โดยเน้นให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจในต่างประเทศทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ ไม่ซ้ำซ้อน มีทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายร่วมกันบนพื้นฐานของแผนงานรวมที่เป็นเอกภาพ (unified work plan) มีสำนักงานที่เป็นเอกภาพ (unified structure) และมีกรอบการประสานงานที่เป็นเอกภาพ (unified command) โดยมีกระทรวงการต่างประเทศซึ่งรับผิดชอบภาพรวมของการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการประสานงาน ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายการปฏิรูประบบราชการในต่างประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2541
[ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]



Termination of Mission of Diplomatic Agent

ภารกิจของผู้แทนทางการทูตหรือหัวหน้าคณะทูตจะสิ้นสุดลง
1. ระยะเวลาที่ผู้แทนทางการทูตได้รับแต่งตั้งให้ประจำอยู่ในประเทศผู้รับได้ครบกำหนดตามวาระ2. เมื่อวัตถุประสงค์ของภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติได้สัมฤทธิผลเรียบร้อยแล้ว3. ถูกเรียกตัวกลับเนื่องจากต้องโยกย้ายไปที่อื่น หรือลาออก หรือเนื่องจากครบเกษียณอายุ4. ถูกเรียกตัวกลับเนื่องจากไม่เป็นที่พอใจของรัฐบาลของตน หรือกระทำตามคำขอร้องของรัฐบาลของประเทศผู้รับ ซึ่งเขาได้รับแต่งตั้งให้ประจำทำงานอยู่5. เนื่องจากการเสด็จสวรรคตของพระมหากษัตริย์ของประเทศตน หรือประเทศที่ตนได้รับแต่งตั้งให้ประจำทำงาน6. หากตัวเขาเองได้กระทำการอันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศบางอย่าง หรือเนื่องจากเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่คาดไม่ถึง และมีลักษณะร้ายแรงจริง ๆ ตัวเขาเองจะต้องรับผิดชอบในการตัดความสัมพันธ์7. เมื่อรัฐบาลผู้รับ ซึ่งตัวเขาได้รับแต่งตั้งให้ประจำทำงานอยู่นั้น แล้วจะด้วยเหตุผลอย่างใดก็ตาม ได้แจ้งให้เขาเดินทางออกไปจากประเทศในทันที โดยไม่ต้องระให้รัฐบาลของตนเรียกตัวกลับ8. เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งของผู้แทนทางการทูต ดังเช่น ได้รับเลื่อนตำแหน่งจากอัครราชทูตขึ้นเป็นเอกอัครราชทูต9. เนื่องจากเกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐทั้งสอง10. เนื่องจากถูกถอดจากตำแหน่ง หรือสละราชบัลลังก์ของประมุขของประเทศใดประเทศหนึ่ง 11. เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในประเทศใดประเทศหนึ่ง จากระบบพระมหากษัตริย์เป็นระบบสาธารณรัฐ หรือเป็นระบบสาธารณรัฐอันมีประมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้กฎหมาย12. เนื่องจากรัฐใดรัฐหนึ่งของทั้งสองรัฐต้องสูญสภาวะในการเป็นรัฐเหตุผลข้างต้นทั้งหมดนี้ เป็นทรรศนะของเซอร์เออร์เนสท์ ซาทาว ซึ่งได้ให้ไว้ในหนังสือของท่าน ชื่อว่า ?A Guide to Diplomatic Practice? ฉบับเรียบเรียงใหม่ครั้งที่ 4 โดยเซอร์เนวิลล์ แบลนด์
[ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]



TAC (Treaty of Amity and Cooperation)

สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
" เป็นสนธิสัญญาที่จัดทำขึ้นโดยอาเซียนเมี่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อกำหนด หลักการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาค โดยมีหลักการที่สำคัญได้แก่ การเคารพในอำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียมกัน บูรณภาพแห่งดินแดน การไม่แทรกแซงกิจการภายใน การแก้ไขปัญหาโดยสันติ การไม่ใช้หรือขู่ว่าจะใช้กำลัง และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน รวมทั้งมีมาตราเกี่ยวกับแนวทางยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี โดยอาศัยกลไกคณะอัครมนตรี (High Council) ปัจจุบันประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ เป็นภาคีสนธิสัญญาฯ "




Final Act

กรรมสารสุดท้าย
คือคำแถลงหรือคำสรุปอย่างเป็นทางการจากเรื่องราวการประชุม คำแถลงนี้จะระบุสนธิสัญญาและอนุสัญญาที่ได้มีการลงนามกันอันเป็นผลจากการประชุม และในบางกรณีจะผนวกความเห็นหรือข้อเสนอแนะหรือความปรารถนาจากที่ประชุมไว้ด้วย ผู้แทนที่มีอำนาจเต็มเท่านั้นจะเป็นผู้ลงนามในกรรมสารสุดท้าย ในตอนสุดท้ายของการประชุม
[ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) 


Flexible Engagement

ความเกี่ยวพันอย่างยืดหยุ่น
" ความเกี่ยวพันอย่างยืดหยุ่นเป็นข้อเสนอของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่เสนอในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN Ministerial Meeting : AMM) ครั้งที่ 31 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2541 ณ กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกอาเซียนมีการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์ เปิดกว้างและเป็นกันเองในเรื่องหรือประเด็นต่าง ๆ ที่เห็นว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมกันหรือที่จะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของนานาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันสืบเนื่องจากการที่อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศ และอยู่ในภาวะที่เผชิญปัญหาท้าทายต่าง ๆ ซึ่งมีความเชื่อมโยงและเกี่ยวพันกัน "
[ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]


Foreign Policy

นโยบายต่างประเทศ
คือแผนการดำเนินการในกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งผู้กำหนดนโยบายในคณะรัฐบาลเป็นผู้จัดขึ้น ในประเทศที่มีรัฐบาลประชาธิปไตยในรูปรัฐสภา ผู้ที่จะชี้ขาดเรื่องนโยบายต่างประเทศได้แก่คณะรัฐมนตรี อันมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ และจะได้รับความเห็นชอบจากผู้แทนของประชาชนที่ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนรัฐบาลประชาธิปไตยในรูปประธานาธิบดี ตัวประธานาธิบดีเองซึ่งโดยปกติแล้วจะได้รับคำแนะนำจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และบุคคลชั้นผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ จะเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ
[ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]

Functions of Diplomatic Mission

ภาระหน้าที่ต่าง ๆ ของคณะผู้แทนทางการทูต
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หน้าที่ที่ปฏิบัติเป็นประจำของผู้แทนทางการทูตนั้น ได้แก่ หน้าที่การเจรจา การสังเกต และการคุ้มครอง อย่างไรก็ดี มีบางประเทศได้มอบอำนาจให้ผู้แทนทางการทูตของตนปฏิบัติหน้าที่ทางกงสุล และกิจกรรมเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ด้วย ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญใด ๆ กับการทูตเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนาได้บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า1. นอกจากประการอื่นแล้ว การหน้าที่ของคณะผู้แทนทางการทูตประกอบด้วยก. ทำหน้าที่แทนรัฐผู้ส่งในรัฐผู้รับข. คุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐผู้ส่งและของคนชาติของรัฐผู้ส่งในรัฐผู้รับ ภายในขีดจำกัดอันกฎหมายระหว่างประเทศได้อนุญาตให้ค. เจรจากับรัฐบาลของรัฐผู้รับง. สืบเสาะให้แน่ด้วยวิถีทางทั้งมวลอันชอบด้วยกฎหมายถึงสถาวะและพัฒนาการในรัฐผู้รับ แล้วรายงานไปยังรัฐบาลของรัฐผู้ส่งจ. ส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรัฐผู้ส่งกับรัฐผู้รับ ตลอดจนพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ ระหว่างรัฐผู้ส่งกับรัฐผู้รับ2. ไม่มีข้อความในอนุสัญญานี้ ที่จะหมายความได้ว่าเป็นการห้ามไม่ให้คณะผู้แทนทางการทูตปฏิบัติหน้าที่ทางกงสุล
[ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]

  • Freedom of Movement of Diplomatic Agents

    เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายและการเดินทางของผู้แทนทางการทูต
    โดยปกติ รัฐผู้รับย่อมอนุญาตโดยเสรีแก่ผู้แทนทางการทูต ที่จะเคลื่อนย้ายและเดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วประเทศ แต่ระหว่างสงครามเย็นที่ผ่านมา ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อจำกัดการเดินทางแก่ผู้แทนทางการทูตของกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์บางแห่ง ได้แก่ สหภาพโซเวียต บัลแกเรีย เชคโกสโลวาเกีย ฮังการี รูเมเนีย และโปแลนด์ นัยว่าสหรัฐฯ ได้กำหนดเขตแขวงในดินแดนของตน 355 แห่ง หรือประมาณร้อยละ 11 ของพื้นที่ทั้งหมด เป็นเขตห้ามเข้าสำหรับผู้แทนทางการทูตของประเทศเหล่านั้นในทำนองเดียวกัน กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ดังกล่าวก็ได้ตั้งข้อจำกัดการเดินทางแก่ผู้แทนทางการทูตของสหรัฐฯ เช่นกัน สำหรับเสรีภาพการเคลื่อนย้ายนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ได้บัญญัติในข้อ 26 ว่า?ภายในบังคับของกฎหมาย และข้อบังคับของรัฐผู้รับเกี่ยวกับการเข้าไปในเขตหวงห้ามหรือวางระเบียบไว้ โดยเหตุผลของความมั่นคงแห่งชาติ ให้รัฐผู้รับประกันแก่สมาชิกทั้งมวลของคณะเกี่ยวกับเสรีภาพในการเคลื่อนไหวและการเดินทางในอาณาเขตของตน?
    [ หนังสือคำศัพท์-คำย่อทางการทูต สถาบันการต่างประเทศ กต. (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ]
  • Freedom of Movement of Member of Consular Post

    เสรีภาพในการเคลื่อนไหวของบุคคลในสถานที่ทำการทางกงสุล
    เรื่องนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ได้บัญญัติไว้ในข้อ 34 ว่า?ภายในบังคับแห่งกฎหมาย และข้อบังคับของรัฐผู้รับเกี่ยวกับการเข้าไปในเขตซึ่งเป็นที่หวงห้าม หรือที่ได้กำหนดระเบียบไว้ เพราะเหตุผลในทางความมั่นคงแห่งชาติ ให้รัฐผู้รับประกันเสรีภาพในการเคลื่อนไหว และการเดินทางในอาณาเขตของตน แก่บุคคลทั้งปวงในสถานที่ทำการทางกงสุล?

FTA ( Free Trade Area )

เขตการค้าเสรี
การรวมกลุ่มเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มลงให้เหลือน้อยที่สุด หรือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม

]www.cdd.go.th
http://www.wipo.int/meetings/en/documents.jsp
http://www.wipo.int/meetings/en/details.jsp?meeting_id=27423

Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore

 http://www.law.northwestern.edu/journals/jihr/v10/n2/3/index.html
Twenty-Third Session
Geneva, February 4 to 8, 2013
 Traditional Knowledge and Global Lawmaking
http://spicyipindia.blogspot.com/2010_03_01_archive.html

Fish